ใบความรู้ ครั้งที่
5
เรื่อง ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการเขียน
ภาษาที่ใช้ในการเขียนงานวิชาการต้องมีความชัดเจน
เป็นกลาง ไม่ใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ดังที่ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (2532) เรียกการใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนรายงาน บรรยายลักษณะของสิ่งของ บุคคล
เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ซึ่งชัดเจน จำเพาะเจาะจง
และแม่นตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่า
"ภาษาบอกข้อเท็จจริง"และได้สรุปลักษณะของภาษาบอกข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะการใช้ถ้อยคำที่เป็นมีความหมายเป็นกลาง
(Neutral words) เป็นถ้อยคำที่ไม่กระตุ้นความรู้สึกของผู้อ่าน
หรือแสดงความรู้สึกและความเชื่อใดๆของผู้เขียนออกมา
ทั้งยังสามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้ว่าเป็นจริงเสมอ
การเขียนรายงานต้องใช้ภาษาที่เป็นกลางที่สุด
ไม่เป็นไปในทำนองชักจูงโดยใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของเราเขียนลงไป
เพียงแต่บรรยายไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ว่าอะไรเป็นอะไร
ภาษารายงานจึงต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (มัณฑนา เกียรติพงษ์ และคนอื่น ๆ , 2529)
•ภาษาต้องเป็นข้อเท็จจริงพิสูจน์ยืนยันได้
ภาษาที่ใช้รายงานไม่นิยมใช้ภาษาที่ตีความได้หลายทาง เช่น
"ในเดือนพฤษภาคมอากาศในประเทศไทยสบายกว่าประเทศลาว"
ไม่ใช่ภาษารายงานเพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง หรือ
"เมื่อน้ำเย็นที่สุดมันก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง" ควรใช้ว่า
"ในเดือนพฤษภาคมอุณหภูมิในประเทศไทยต่ำกว่าประเทศลาว" และ "เมื่อน้ำมีอุณหภูมิต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง
น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง"
•ภาษาต้องปราศจากข้อสันนิษฐานหรือการคาดคะเน
ผู้เขียนต้องบันทึกเหตุการณ์ตามที่ปรากฏแก่ตา หากต้องการสันนิษฐานหรือคาดคะเน
ต้องมีข้อมูล หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาใช้ในการสันนิษฐาน
•ภาษาต้องปราศจากข้อตัดสินชี้ขาด
หรือสรุปวิจารณ์ ต้องไม่ใช้ภาษาที่แสดงว่าเป็นการยกย่อง ติเตียน พอใจ ไม่พอใจ
ภาษาของการเขียนรายงานต้องบรรยายไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น
การตัดสินหรือสรุปวิจารณ์เป็นหน้าที่ที่ผู้อ่านจะกระทำเอง
การเขียนแบบที่ผู้เขียนด่วนสรุปตัดสินอาจทำให้ความคิดของผู้อ่านหยุดชะงัก
•ละเว้นการใช้คำที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดอคติ
อย่าเลือกใช้คำที่อาจทำให้ผู้อ่านเกิดอคติ เช่น คำว่า "ค่อย ๆ ย่อง" กับ
"เดินไปอย่างเงียบ ๆ" ผู้อ่านอาจสร้างภาพและเกิดความรู้สึกต่างกัน
อย่างไรก็ตามการใช้ภาษาในงานเขียนทางวิชาการแต่ละสาขาวิชาอาจมีลักษณะปลีกย่อยแตกต่างกันได้
ดังที่อมรา ประสิทธิรัฐสินธุ์ (2542) สรุปว่า
ภาษาวิทยาศาสตร์ในภาษาไทยยัง ไม่มีผู้ศึกษาไว้โดยตรง แต่ในภาษาอังกฤษ Scientific
English เป็นทำเนียบภาษาที่มีความสำคัญและมีผู้ศึกษาไว้มาก
และกล่าวถึงลักษณะของภาษาวิทยาศาสตร์ไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
•มีความเป็นกลาง
ไม่เน้นผู้กระทำ แต่เน้นกระบวนการจึงใช้ประโยคกรรมวาจก (Passive) มากกว่าปกติ
•มีความเป็นสากลจึงใช้กริยาปัจจุบันกาลและคำนามไม่เฉพาะเจาะจง
•เน้นวัตถุประสงค์หรือหน้าที่ของสิ่งที่กล่าวถึง
จึงมีการวาง Infinitive ไว้หน้าประโยค
•รวบรัดแต่ได้ใจความมากจึงใช้คำนามขยายคำนาม
•ไม่เน้นความสละสลวย
แต่พูดให้สั้น
การใช้ภาษาในงานเขียนเชิงวิชาการ
อาจแยกกล่าวเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. การใช้คำ
1.1 ใช้คำให้ถูกต้อง
1.1.1 ถูกต้องตามความหมายของคำการใช้คำในภาษาเขียนนั้นผู้ใช้ต้องระมัดระวังอย่างมากจึงจะสามารถสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมและตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะการใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
คำในภาษาไทยเป็นจำนวนมากมีความหมายคล้ายคลึงกัน
แต่ไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้เสมอไป ผู้ใช้ต้องมีความรู้
ความเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ เป็น อย่างดีจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ตรงความหมาย
1.1.2 ถูกต้องตามชนิดของคำ การใช้คำต้องคำนึงถึงชนิดและหน้าที่ของคำในประโยคผู้เขียนต้องรู้จักเลือกใช้คำให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
และเพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน
1.2
ใช้คำที่เป็นภาษาเขียน
การเขียนทำให้การบันทึกแม่นยำและถาวร
ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ รวมทั้งความละเอียดถี่ถ้วนก็มีมากกว่าภาษาพูด
ภาษาเขียนเป็นภาษาที่เรียบเรียงเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะหน้าที่ ประโยชน์
สถานการณ์ รวมทั้งความถาวร ทำให้ภาษาเขียนเป็นภาษาที่ต้องมีการร่าง การเรียบเรียง
การแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานเขียนหลายประเภทมีผู้แก้ไขหลายคน เช่น ร่างกฎหมาย
รายงานการประชุม เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่างภาษาเขียนกับภาษาพูดเห็นได้ง่ายในเรื่องระดับของถ้อยคำที่ใช้และรูปแบบของสื่อ
(วัลยา ช้างขวัญยืน , 2534 )
1.3 ใช้คำสุภาพ
การใช้คำในภาษาเขียนควรคำนึงถึงเรื่องการใช้คำสุภาพเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกที่ดีทั้งยังแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้ที่มีมารยาทในการใช้ภาษาด้วย
1.4 ใช้คำไทย
ปัจจุบันเรารับวิทยาการด้านต่างๆ
มาจากต่างประเทศ
เราจึงมีคำศัพท์ภาษาต่างประเทศใช้เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์ในภาษาอังกฤษในการเขียนภาษาไทยนั้นหากจำเป็นต้องใช้คำศัพท์ภาษาต่างประเทศ
ควรเลือกใช้คำศัพท์บัญญัติที่ราชบัณฑิตยสถานกำหนดหากคำใดยังไม่มีการบัญญัติขึ้นใช้
อาจใช้คำที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปหรือใช้ทับศัพท์
แต่ควรวงเล็บคำภาษาอังกฤษไว้ด้วยเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงกัน ดังตัวอย่าง
คำที่ไม่ควรใช้ในภาษาเขียน
(ปรีชา ช้างขวัญยืน ,
2542)
1.
คำย่อและคำตัด
คำย่อที่ไม่ควรใช้คือคำย่อที่ใช้เฉพาะกลุ่ม
คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบความหมาย เช่น ปวศ. อ.ส.ม.ท. น.บ. เป็นต้น
ในการเขียนควรใช้คำย่อให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย
หากใช้ควรเขียนคำเต็มเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ
คำตัดที่ใช้ในภาษาเขียนโดยทั่วไปมีไม่กี่คำ
เช่น กรุงเทพ ฯ โปรดเกล้า ฯ ข้า ฯ
คำตัดบางคำใช้แพร่หลายในการพูดแต่ไม่นิยมใช้ในภาษาเขียนซึ่งต้องการความแจ่มแจ้ง
เช่น นิสิตจุฬา ผู้ว่า โรงเรียนนายร้อย เป็นต้น
2. คำภาษาต่างประเทศ
คำภาษาต่างประเทศถ้าใช้ในวงแคบเฉพาะในหมู่ผู้รู้ไม่กี่คนก็อาจเป็นประโยชน์
3. คำหรูหรา
คำหรูหรา
ได้แก่คำที่เป็นศัพท์ซึ่งไม่ค่อยใช้กันในภาษาทั่วไปและถือกันว่าเป็นศัพท์สูงกว่าศัพท์ที่ใช้กันทั่วไป
การใช้คำประเภทนี้อาจแสดงว่าผู้ใช้รู้ศัพท์มาก แต่ก็ทำให้ผู้อ่านเข้าใจยากขึ้น
คำหรูหราในภาษาไทยมี 2 ประเภท คือ
1. คำที่มาจากภาษาอื่น เช่น ประจักษ์ บัญชา เ จตนารมณ์ ทัศนียภาพ เป็นต้น
คำสามัญที่ใช้แทนคำเหล่านี้คือ เห็น ความมุ่งหมาย ภาพที่สวยงาม
2. ศัพท์ที่ตั้งขึ้นโดยพยายามจะให้แปลกหูแต่คนฟังต้องตีความ เช่น
เรียกการพูดโจมตีว่า "การกระทำที่ไม่เป็นมิตร" เรียกผู้หญิงว่า
"ดอกไม้ของชาติ" เรียกรถไฟว่า "ม้าเหล็ก" เป็นต้น
4.
คำที่มีความหมายซ้ำกัน
การใช้คำที่มีความหมายซ้ำกันคือการใช้คำมากกว่าหนึ่งคำเพื่อบอกความหมายเดียว
เช่น วางแผนล่วงหน้า เปิดเผยให้ทราบ เริ่มทำเป็นครั้งแรก ในประวัติเท่าที่ผ่านมา
เป็นต้น
5. คำที่เป็นภาษาพูด เช่น
ภาษาพูด ภาษาเขียน
เข้าท่า
เหมาะสม
ยังไง
อย่างไร
6. คำโบราณ
คำโบราณมีอยู่ในหนังสือเก่า เช่น
วรรณคดี หรือจารึกต่าง ๆ เป็นคำที่คนสมัยใหม่อาจไม่เข้าใจจึงควรเลือกใช้คำอื่น
เช่น
คำ ตัวอย่างประโยค
ย่อม
สิ่งมีชีวิตย่อมกินอาหาร
เจ้าเรือน
คนส่วนมากมีโทสจริตและโมหจริตเป็นเจ้าเรือน
7. คำในภาษาเฉพาะกลุ่ม
คำในภาษาเฉพาะกลุ่มเป็นภาษาปัจจุบันที่ใช้และรู้กันในหมู่คนเพียงบางกลุ่ม
รวมไปถึงคำที่เป็นภาษาถิ่น ในการเขียนเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจจึงต้องใช้ภาษาราชการ
8. คำสแลง
คำสแลงเป็นคำที่จัดอยู่ในประเภทคำต่ำ
ส่วนมากเป็นคำทั่ว ๆ ไปที่นำมาใช้ในความหมายเฉพาะและใช้กันชั่วระยะเวลาหนึ่ง
บางคำอาจใช้กันจนติดอยู่ในภาษา เช่น คำว่า เชย เป็นต้น
คำสแลงมักมีความหมายกว้างมากและแปลให้ตายตัวไม่ได้
ความหมายจึงไม่รัดกุมและเนื่องจากมักใช้กันชั่วคราวจึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นภาษาเขียน
9. คำหยาบ
คำหยาบ ได้แก่
คำที่ถือว่าต่ำกว่าภาษาพูดลงไปและเป็นคำที่ถือว่าพูดไม่ได้
ถ้าใช้พูดก็ถือว่าดูหมิ่นผู้ฟัง คำด่าก็รวมอยู่ในประเภทคำหยาบด้วย
คำเหล่านี้ใช้ในภาษาเขียนไม่ได้เลย
2. การใช้ประโยค การสร้างประโยค
ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
2.1 ความถูกต้องชัดเจนใช้รูปประโยคภาษาไทย
ไม่ใช้รูปประโยคและสำนวนภาษาอังกฤษ ประโยคภาษาไทยโดยทั่วไปมักจะประกอบไปด้วยประธาน
กริยา และกรรม
บางประโยคอาจใช้กริยาหรือกรรมขึ้นต้นประโยคหากผู้พูดต้องการเน้นส่วนนั้น ๆ
แต่ตามปกติแล้วประโยคภาษาไทยไม่นิยมใช้กรรมขึ้นต้นประโยค
2.2 ความกะทัดรัด สละสลวยการใช้ภาษาในงานวิชาการนั้นต้องกระชับ
รัดกุม สื่อความหมายได้ชัดเจน ตรงประเด็นและสละสลวย
คนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจว่าการเขียนงานวิชาการจำเป็นต้องใช้คำศัพท์สูง
และผูกประโยคให้ซับซ้อนเพื่อแสดงภูมิของผู้เขียนและเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหาที่เป็นวิชาการ
แท้จริงแล้วการเขียนงานวิชาการซึ่งมุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านเป็นสำคัญนั้น
ผู้เขียนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกใช้คำง่ายที่สื่อความหมายตรงไปตรงมา
และผูกประโยคสั้น ๆ ไม่พูดซ้ำโดยไม่จำเป็นเพื่อให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายยิ่งขึ้น
ส่วนความไพเราะสละสลวยของการเรียบเรียงข้อความนั้นจะช่วยเสริมให้เรื่องน่าอ่านยิ่งขึ้น
2.3
การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องภาษาไทยไม่นิยมใช้เครื่องหมายวรรคตอนเมื่อจบข้อความหรือประโยคแต่การเว้นวรรคตอนเป็นเครื่องหมายที่ช่วยแบ่งประโยคหรือข้อความให้ชัดเจนขึ้น
ทำให้ทราบว่าข้อความหรือประโยคจบลงแล้ว
การใช้วรรคตอนผิดส่งผลให้ความหมายของข้อความผิดเพี้ยนไป หรือสื่อความหมายไม่ชัดเจน
การเว้นวรรคตอนจึงถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
3. ย่อหน้า
3.1 ความหมายของย่อหน้าย่อหน้า
คือการนำกลุ่มของประโยคมาร้อยเรียงอย่างสัมพันธ์กันเพื่อแสดงความคิดสำคัญเพียงความคิดเดียว
ข้อความแต่ละย่อหน้าจะเป็นตัวแทนของความคิดสำคัญเพียงประการเดียวเท่านั้น
หากต้องการเสนอความคิดหลายประการผู้เขียนต้องแยกกล่าวถึงความคิดเหล่านั้นเป็นประเด็น
ๆ ในแต่ละย่อหน้า แล้วเรียบเรียงเนื้อหาให้สัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามลำดับ
ผู้อ่านจึงจะสามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ง่าย
โดยทั่วไปแล้วการแสดงความคิดสำคัญในแต่ละย่อหน้านั้น
ผู้เขียนอาจแปรประเด็นความคิดสำคัญ (Main idea) เป็นประโยคใจความสำคัญ
(Topic sentence) และขยายความด้วยวิธีต่าง ๆ
เนื้อความในแต่ละย่อหน้าจึงประกอบไปด้วยประโยคใจความสำคัญหรือประโยคหลักและประโยคขยาย
ประโยคใจความสำคัญจะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้เด่นชัดขึ้น
แต่บางครั้งผู้เขียนก็อาจจะเสนอความคิด (Main idea) โดยไม่มีประโยคใจความสำคัญ
ผู้อ่านต้องสรุปประเด็นสำคัญของย่อหน้านั้นเอาเอง
ย่อหน้าเป็นตัวแทนของความคิดที่ผู้เขียนต้องการการนำเสนอ
การใช้วิธีเขียนแบบย่อหน้าทำให้ผู้อ่านสามารถติดตามเนื้อเรื่องได้อย่างเป็นขั้นตอนและมีเหตุผล
ผู้อ่านสามารถหยุดคิดตามได้เมื่ออ่านเนื้อหาแต่ละย่อหน้า นอกจากนี้การเขียนเนื้อหาโดยจัดแบ่งความคิดออกเป็นย่อหน้ายังช่วยให้เกิดความงามในเรื่องรูปแบบ
ทั้งนี้เพราะมีที่ว่างให้หยุดพักสายตา
และผู้อ่านสามารถตรวจสอบทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ
ที่ผู้เขียนนำเสนอได้ง่ายขึ้น ทั้งยังแสดงให้เห็นวิธีการเรียบเรียงความคิดที่เป็น
ระบบระเบียบของผู้เขียนอีกด้วย
3.2 รูปแบบของย่อหน้าย่อหน้าแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบตามลักษณะการปรากฏของประโยคใจความสำคัญหรือประโยคหลัก
ดังนี้
1.
ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้าประเภทนี้ผู้เขียนแปรประเด็นความคิดสำคัญเป็นประโยคใจความสำคัญแล้วนำไปใส่ไว้ในตอนต้นของย่อหน้า
จากนั้นจึงขยายความในประโยคใจความสำคัญนั้นให้ผู้อ่านเข้าใจ
โดยทุกประโยคที่นำมาขยายความจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประโยคใจความสำคัญที่อยู่ต้นย่อหน้า
การเขียนย่อหน้าแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเขียนเพราะจะไม่หลงประเด็นได้ง่าย
ผู้อ่านก็สามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ทันที
2. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายผู้เขียนเริ่มต้นย่อหน้าด้วยประโยคขยายความ
จากนั้นจึงเขียนประโยคใจความสำคัญปิดท้าย
ย่อหน้าแบบนี้จะช่วยให้ผู้อ่านขมวดปมความคิดของสิ่งที่ได้อ่านมาทั้งหมดในย่อหน้านั้นได้ชัดเจนขึ้น
ผู้เขียนที่ใช้ย่อหน้าแบบนี้ต้องระลึกอยู่เสมอว่าทุกประโยคที่ขยายความนั้นสนุบสนุนประเด็นความคิดสำคัญที่ต้องการนำเสนอ
3. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ทั้งตอนต้นและท้าย
ย่อหน้าแบบนี้มีผู้นิยมใช้กันมากเพราะช่วยเน้นย้ำให้ผู้อ่านทราบประเด็นความคิดสำคัญของเรื่องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประโยคที่ปรากฏในตอนต้นและท้ายย่อหน้าล้วนแสดงความคิดอย่างเดียวกันเพียงแต่ใช้คำพูดต่างกัน
4. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางผู้เขียนเริ่มต้นย่อหน้าด้วยประโยคขยายความเพื่อนำเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการ
จากนั้นจึงเขียนประโยคที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องนั้น
หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ย่อหน้าแบบนี้เขียนค่อนข้างยากเนื่องจากผู้เขียนต้องมีวิธีจูงความสนใจของผู้อ่านเข้าสู่เรื่องนั้นก่อนที่จะได้พบกับประโยคใจความสำคัญ
จากนั้นจึงขยายความต่อไปจนได้รายละเอียดที่ครบถ้วน
สำหรับผู้อ่านเองการค้นหาประโยคใจความสำคัญก็อาจทำได้ค่อนข้างยากเมื่อเปรียบเทียบกับย่อหน้าประเภทอื่น
5. ย่อหน้าที่ไม่มีประโยคใจความสำคัญย่อหน้าประเภทนี้มีแต่ประเด็นความคิดสำคัญแต่ไม่มีประโยคใจความสำคัญ
ทุกประโยคในย่อหน้านั้นจะแสดงรายละเอียดเพื่อสนับสนุนประเด็นความคิดสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ
ผู้อ่านต้องสรุปประเด็นสำคัญเองหลังจากที่อ่านจบแล้ว
ย่อหน้าประเภทนี้พบเป็นจำนวนมากในงานเขียนประเภทต่าง ๆ
3.3 ลักษณะของย่อหน้าที่ดีย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะต่อไปนี้
1. มีเอกภาพ เอกภาพคือความเป็นหนึ่งในเรื่องของประเด็นความคิด
กล่าวคือใน 1 ย่อหน้าจะมีเพียง 1 ความคิดสำคัญเท่านั้น
ทุกประโยคที่นำมาแสดงรายละเอียดต้องสนับสนุนหรืออธิบายประเด็นหลักของย่อหน้านั้น
หากมีประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ย่อหน้านั้นก็จะขาดความเป็นเอกภาพ
2. มีสัมพันธภาพ สัมพันธภาพของย่อหน้าหมายถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างความคิดหลักกับความคิดปลีกย่อย
ผู้อ่านจะสามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ง่ายและชัดเจนขึ้นหากผู้เขียนใช้คำเชื่อมได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม ทั้งยังมีวิธีเรียบเรียงและการเสนอความคิดอย่างมีระบบ มีเหตุผล
และทุกประเด็นมีความเกี่ยวเนื่องกันไปโดยลำดับ นอกจากสัมพันธภาพในแต่ละย่อหน้าแล้ว
ข้อเขียนแต่ละเรื่องยังต้องมีสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าด้วย
3. มีสารัตถภาพ สารัตถภาพคือการเน้นย้ำในส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ
ซึ่งอาจทำได้โดยการให้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการเน้นมากกว่าประเด็นอื่น
เช่น ยกตัวอย่างประกอบ
กล่าวด้วยถ้อยคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันแต่ใช้ข้อความต่างกัน
และอธิบายขยายความอย่างละเอียด เป็นต้น
การเน้นประเด็นใดประเด็นหนึ่งนี้อาจทำได้อีกวิธีหนึ่งคือการวางประโยคใจความสำคัญไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นได้เด่นชัด
ซึ่ง ได้แก่ในตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้านั่นเอง
แหล่งที่มา : http://home.kku.ac.th/thai416102/SubjectWeb/thaiUsage.htm


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น