ใบความรู้ ครั้งที่ 3
เรื่อง การมีมารยาทในการอ่าน
การสร้างนิสัยรักการอ่าน
การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนี้
ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยผู้ปกครองผู้ใหญ่ในบ้าน ครูอาจารย์ ตลอดจนสื่อต่างๆ
ในสังคมควรส่งเสริม การเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนแต่ละระดับ
ย่อมมีส่วนจูงใจให้เด็กอยากอ่านอยากรู้อยากเห็น
อยากค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อจะได้เป็นนักอ่านที่ดีต่อไป
ในวัยแรกเริ่มหัดอ่านนั้น
ผู้ใหญ่อาจเร้าความสนใจด้วยหนังสือที่มีภาพประกอบสวยๆ
หนังสือการ์ตูนนิทานที่สนุกสนานมีภาพประกอบ
หรือเมื่อเริ่มโตขึ้นเริ่มมีหนังสือสารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น ที่ตรงกับความสนใจ
ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าหนังสือนั้นมีประโยชน์ มีคุณค่า และมีความหมายต่อเขามาก
การเลือกหนังสือเข้าห้องสมุดให้เหมาะสมกับวัยผู้เรียน
จะมีส่วนอย่างมากในการจูงใจให้เด็กเข้าห้องสมุด
และหยิบหนังสือมาอ่านจนเกิดความเคยชินกับการอ่าน
หนังสือที่เหมาะกับวัยและรสนิยมของเด็กจะช่วยให้เด็กรักและมีความสุขกับการอ่านหนังสือ
เมื่อเขาโตขึ้นก็ควรได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่านด้วยตัวเอง ดังนี้
1. ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
เช่น อ่านแล้วนำเรื่องมาเล่าต่อ ขณะที่อ่านควรบันทึก ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง
แนวคิดสำคัญของเรื่องและคุณค่าลงในบัตรทุกครั้ง
2. จดบันทึก ข้อความ
ถ้อยคำ เรื่องราว ข้อคิด ความรู้ที่มีประโยชน์ หรืออาจลืมได้ง่าย
เก็บไว้เพื่อเตือนความจำหรือเป็นแบบให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้
3. ใช้พจนานุกรมและสารานุกรมช่วยในกรณีที่พบถ้อยคำ
สำนวน หรือคำศัพท์ยากที่ไม่เข้าใจความหมาย หรือต้องการตรวจสอบความถูกต้อง
4. สำรวจสมาธิในการอ่าน
เพื่อจับสาระสำคัญ หรือสาระประโยชน์อื่นๆ ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
5. ปรับอารมณ์ให้สอดคล้องกับข้อเขียน
เพื่อสร้างจินตนาการและความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น
6. รู้จักลักษณะเฉพาะของวรรณกรรม
เข้าใจศิลปะของการใช้ภาษาในคำประพันธ์ รวมทั้งถ้อยคำโวหารในงานนั้นๆ
7. สะสมประสบการณ์และความรู้เชิงภาษาให้กว้างขวางและมากพอจนสามารถเข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว
รับรสจากการอ่านได้อย่างซาบซึ้งแนวทางพัฒนาทักษะการอ่าน
การอ่านเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก
แต่คนเป็นจำนวนมากไม่ค่อยรักการอ่าน นักเรียนซึ่งอยู่ในวัยเรียน
จะได้รับความรู้จากการอ่านเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องฝึกฝนตนให้เป็นนักอ่าน
มีความอยากอ่าน จนติดเป็นนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิต แนวทางพัฒนาทักษะการอ่าน
ควรดำเนินการดังนี้
1. สร้างนิสัยในการอ่านด้วยวิธีง่ายๆ คือ
-
เริ่มต้นอ่านหนังสือที่ตนชอบด้วยการซื้อเป็นสมบัติส่วนตนหรือเข้าห้องสมุดเมื่อมีเวลาว่าง
- อ่านหนัสือทุกประเภทในเวลาว่าง
นอกเหนือจากหนังสือเรียน หรือหนังสือที่ชอบ
- อ่านประกาศต่างๆ
ในสถานที่ที่เข้าไปติดต่อ
2. เข้าร่วมกิจกรรมอ่านออกเสียง อ่านบทร้อยกรอง
ร้อยแก้ว ความเรียง เช่น อ่านข่าว เล่านิทาน อ่านทำนองเสนาะ ฯลฯ
เพื่อเพิ่มทักษะการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเว้นวรรคตอน
การอ่านคำควบกล้ำ ขณะที่อ่านควรใช้น้ำเสียงมีชีวิตชีวาตามเนื้อหาที่อ่าน
3. สะสมข้อความประทับใจที่อ่านพบ
ไว้ใช้ในโอกาสที่เหมาะสมด้วยการบันทึกลงบัตรและเก็บสะสมบัตรไว้ใช้ต่อไป
4. บันทึกผลการอ่านทุกครั้ง ตั้งแต่ที่มาของหนังสือ
สาระสำคัญของเรื่อง ความคิดเห็นของผู้อ่าน ฯลฯ
5. อ่านหนังสือให้มากและรู้จักเลือกหนังสือที่มีคุณค่า
เพิ่มพูนความรู้และคุณธรรมของตนเอง
6. สร้างบรรยากาศการอ่านให้เป็นที่น่าพึงใจ
หาที่นั่งที่สบาย อากาศดี แสงสว่างพอเพียง และไม่มีเสียงรบกวน
7. พยายามอ่านหนังสือทุกวัน
ทั้งหนังสือประเภทที่ชอบและข่าวสารต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ที่ช่วยให้ผู้อ่านทันโลก
8. ฝึกฟัง เพราะการฟังเป็นพื้นฐานของการอ่าน
ถ้าฟังการวิจารณ์เรื่องที่เรากำลังอ่าน จะช่วยให้มีทัศนะในเรื่องที่อ่านกว้างขึ้น
9. เมื่อจิตใจท้อแท้ เบื่อหน่าย เครียด
สมองทำงานหนัก ควรอ่านหนังสือประเภทขบขัน
หนังสือประเภทให้ความเพลิดเพลินทางปัญญาและอารมณ์
หนังสือชี้ชวนดูโลกในแนวใหม่หรือให้สัจธรรม
จะช่วยขจัดความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนาได้ และช่วยให้จิตใจสดชื่นเห็นความงามในชีวิต
ช่วยให้กำลังใจเข้มแข็งและรู้สึกรักการอ่าน
เพราะตระหนักว่าการอ่านช่วยให้มีความสุขได้
10. เมื่อตอบคำถามหรือสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ด้วยวิธีอื่นๆ
ที่เหมาะสม ควรอ่านหนังสือเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น เมื่ออ่านไปมากๆ
ก็จะพบคำตอบทำให้เป็นผู้รักการอ่าน
11. เมื่ออ่านหนัสือและพัฒนาการอ่านจนถึงขั้นแตกฉาน
ก็จะเกิดความรู้สึกรักที่จะอ่านหนังสือให้มากขึ้น การอ่านได้มากๆ ต้องฝึกอ่านเร็ว
ต้องมีสมาธิแน่วแน่ในการอ่าน ตาและสมองต้องอยู่กับสิ่งที่อ่าน
เมื่อมีสมาธิจะอ่านได้เร็ว รู้เรื่อง และจับประเด็นได้
ก็จะยิ่งรู้สึกรักที่จะอ่านมากขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาการอ่านได้มากยิ่งขึ้น
การเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน
การเสริมสร้างลักษณะนิสัยรักการอ่าน สามารถทำได้ด้วยวิธีการดังนี้
1. รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่มองเห็นหนังสือหรือวัสดุการอ่านใดก็ตาม
ขอให้นักเรียนสร้างความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สมควรอ่าน
ยิ่งอ่านมากก็ทวีประโยชน์แก่ตนเอง ยิ่งกว่านั้นนักเรียนทราบหรือไม่ว่า
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งอดีตและปัจจุบัน
ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันประการหนึ่ง คือเป็นผู้ที่รักการอ่าน
หากต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ก็ขอให้เริ่มอ่านและรักการอ่านตั้งแต่บัดนี้
2. สร้างนิสัยใฝ่รู้เมื่อเกิดความรู้สึกที่ดีต่อการอ่านแล้ว
จะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ
และคิดเสมอว่าความรู้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงต้องเอาใจใส่ติดตามเป็นประจำ มิฉะนั้นจะเป็นคนล้าหลัง นอกจากนั้นจะต้องรู้จักแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
ทั้งนอกและในโรงเรียน ความรู้ดังกล่าวอาจเป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเรียน
และความรู้โดยทั่วไปที่จะช่วยเสริมให้เป็นคนรอบรู้ด้วย
3. เตรียมความพร้อมทุกด้านก่อนการอ่านทุกครั้งควรสำรวจความพร้อมของตนด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด
ความพร้อมที่กล่าวถึงนี้หมายรวมถึงความพร้อมทางกาย ทางใจ และสภาพแวดล้อม
3.1ความพร้อมทางกาย
ได้แก่ สุขภาพดี ไม่มีปัญหาด้านสายตา หรือหากมีปัญหาก็ควรปรึกษาแพทย์
3.2 ความพร้อมทางใจ ได้แก่
ต้องมีจุดมุ่งหมายแน่ชัดในการอ่านว่าอ่านข้อความนี้เพื่ออะไร เพื่อความรู้
เพื่อสอบ หรือเพื่อความบันเทิง เป็นต้น
นอกจากนั้นต้องมีสมาธิในการอ่านปราศจากความกังวลใดๆ
3.3 ความพร้อมทางสภาพแวดล้อม หมายถึง
ควรเลือกอ่านในถานที่ที่เหมาะกับการอ่าน บรรยากาศดี แสงสว่างเพียงพอ
และปราศจากเสียงรบกวน แต่หากไม่สามารถหาสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อมได้ก็มิใช่ว่าจะไม่ต้องอ่าน
เพราะความจริงสิ่งที่สำคัญมากในการอ่านคือสมาธิ หากผู้อ่านมีสมาธิดีแล้ว
ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดย่อมไม่หวั่นไหวและสามารถอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. จัดสรรเวลาในการค้นคว้าการแบ่งเวลาไว้สำหรับศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเองเป็นเรื่องที่สำคัญ
หากเป็นไปได้ควรหาช่วงเวลาที่ตนเห็นว่าเหมาะสม
โดยควรกำหนดไว้ให้ค้นคว้าทุกวันเพื่อความต่อเนื่อง
เมื่อถึงเวลาก็จะเกิดความพร้อมที่จะค้นคว้า ในที่สุดก็จะกระทำจนเป็นนิสัย สำหรับนักเรียนนั้น การแบ่งเวลาเพื่อการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเอง
อาจทำได้ 2 ลักษณะ คือ
4.1 การแบ่งเวลาในการทบทวนทำความเข้าใจกับบทเรียน
นักเรียนต้องพิจารณาว่าควรใช้เวลาดูหนังสือในช่วงใดที่จะดีที่สุด
คือมีสมาธิในการอ่านและทำความเข้าใจได้ดี
4.2 การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
นักเรียนต้องกำหนดว่าควรใช้เวลาช่วงใด อาจใช้เวลาที่อยู่ในโรงเรียนเข้าห้องสมุดเพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
หรืออาจจะไปใช้บริการห้องสมุดจากหน่วยงานอื่นก็ได้
หากนักเรียนสนใจหนังสือบางเล่มเป็นพิเศษก็อาจซื้ออ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยตนเอง
5. นำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ความรู้ที่สะสมได้จากการศึกษาค้นคว้า ควรจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ทั้งในการเรียนและในชีวิตประจำวัน เพราะยิ่งนำความรู้มาใช้มากเพียงใด
ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นเพียงนั้น
ทั้งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองด้วย
มารยาทในการอ่านสุขลักษณะ
อ่านหนังสือในระยะที่เหมาะสมกับสายตา นอกจากนั้นจึงต้องคำนึงถึงมารยาทในการอ่านอีกด้วย
ข้อพึงปฏิบัติและมารยาทการอ่านที่สำคัญ ดังนี้
1. ไม่อ่านออกเสียงดังจนรบกวนผู้อื่น
2. ออกเสียงถูกต้องชัดเจน ตามอักขรวิธี
3. กรณีอ่านหนังสือในห้องสมุด
ต้องไม่ส่งเสียงหรือทำเสียงดังรบกวนผู้อื่น
4.เลือกอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
5. อ่านอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผล
ไม่หลงเชื่อในสิ่งงมงายไร้เหตุผล
6. ระมัดระวังในการถือหนังสือมิให้เกิดความเสียหาย
7. ถ้าต้องการเรื่องหนึ่งเรื่องใดจากหนังสือ
อาจเพื่อนำไปเป็นหลักฐานอ้างอิงควรถ่ายสำนวนไว้ ไม่ควรฉีกออกไปจากเล่ม
8. การแสดงความคิดเห็นในการอ่านต้องมีเหตุผล
ไม่มีอคติในการอ่าน
9.
เมื่อนำเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดจากเรื่องที่อ่านไปใช้อ้างอิงในงานเขียน เช่น
รายงานควรใส่อ้างอิงถูกต้องตามหลักการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เขียน
10.
ถ้าบังเอิญทำหนังสือเสียหาย ควรซ่อมหนังสือให้ถูกต้องตาม
ซ่อมหนังสือเพื่อมิให้หนังสือชำรุดยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น