วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การใช้ถ้อยคำ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย


ใบความรู้  ครั้งที่ 6
เรื่อง  การใช้ถ้อยคำ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย


การใช้ถ้อยคำ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
          คนไทยนิยมใช้ภาษาถ้อยคำสำนวนที่สละสลวย ไพเราะ เสนาะหู และสะดวกแก่การออกเสียงลักษณะนิสัยคนไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน เวลาพูดหรือเขียนจึงนิยมใช้ถ้อยคำสำนวนปนอยู่เสมอถ้อยคำสำนวนต่างๆ เหล่านี้ช่วยให้การสื่อสารความหมายชัดเจน ได้ความไพเราะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ได้ดี บางครั้งใช้เป็นการสื่อสารความหมายเพื่อเปรียบเปรยได้อย่างคมคายลึกซึ้ง เหมาะสมกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ซึ่งแสดงถึงอัธยาศัยที่ดีต่อคนอื่นเป็นพื้นฐาน
          ประเภทของถ้อยคำสำนวน
          1. ถ้อยคำสำนวน เป็นสำนวนคำที่เกิดจากการผสมคำแล้วเกิดเป็นคำใหม่ เช่น คำผสม คำซ้อน หรือคำที่เกิดจากการผสมคำหลายคำ ผสมกันเป็นลักษณะสัมผัส คล้องจอง มีความหมายไม่แปลตรงตามรูปศัพท์ แต่มีความหมายในเชิงอุปไมย เช่น
                    ไก่อ่อน                     หมายถึง          คนที่ยังไม่ชำนาญในชั้นเชิง
                   กิ่งทองใบหยก              หมายถึง          ความเหมาะสมของคู่กันนั้นมีมาก
                   เกลือจิ้มเกลือ              หมายถึง          มีความดุร้ายเข้าหากัน แก้เผ็ดกัน
                   แกว่งเท้าหาเสี้ยน          หมายถึง          การหาเรื่องเดือดร้อน
                   ขิงก็ราข่าก็แรง             หมายถึง          ต่างฝ่ายก็ร้ายเข้าหากัน
          2. คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ เป็นกลางๆ มีความหมายเป็นคติสอนใจสามารถนำไปตีความแล้วนำไปใช้พูด หรือเขียนให้เหมาะสมกับเรื่องที่เราต้องการสื่อสารความหมายได้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสุภาษิตมาก อาจเป็นคำกล่าวติ ชม หรือแสดงความคิดเห็น เช่น
                   รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง     หมายถึง          คนที่ทำอะไรผิดแล้วมักกล่าวโทษสิ่งอื่น
                   ขี่ช้างจับตั๊กแตน           หมายถึง          การลงทุนมากเพื่อทำงานที่ได้ผลเล็กน้อย
          คำพังเพยเหล่านี้ยังไม่เป็นสุภาษิตก็เพราะว่า การกล่าวนั้นยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นหลักความจริงที่แน่นอน ยังไม่ได้เป็นคำสอนที่แท้จริง

ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการเขียน


ใบความรู้  ครั้งที่  5
เรื่อง  ปฏิบัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการเขียน
          ภาษาที่ใช้ในการเขียนงานวิชาการต้องมีความชัดเจน เป็นกลาง ไม่ใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ดังที่ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (2532) เรียกการใช้ภาษาที่ใช้ในการเขียนรายงาน บรรยายลักษณะของสิ่งของ บุคคล เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ซึ่งชัดเจน จำเพาะเจาะจง และแม่นตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ว่า "ภาษาบอกข้อเท็จจริง"และได้สรุปลักษณะของภาษาบอกข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะการใช้ถ้อยคำที่เป็นมีความหมายเป็นกลาง (Neutral words) เป็นถ้อยคำที่ไม่กระตุ้นความรู้สึกของผู้อ่าน หรือแสดงความรู้สึกและความเชื่อใดๆของผู้เขียนออกมา ทั้งยังสามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้ว่าเป็นจริงเสมอ
          การเขียนรายงานต้องใช้ภาษาที่เป็นกลางที่สุด ไม่เป็นไปในทำนองชักจูงโดยใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของเราเขียนลงไป เพียงแต่บรรยายไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ว่าอะไรเป็นอะไร ภาษารายงานจึงต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (มัณฑนา เกียรติพงษ์ และคนอื่น ๆ , 2529)
          ภาษาต้องเป็นข้อเท็จจริงพิสูจน์ยืนยันได้ ภาษาที่ใช้รายงานไม่นิยมใช้ภาษาที่ตีความได้หลายทาง เช่น "ในเดือนพฤษภาคมอากาศในประเทศไทยสบายกว่าประเทศลาว" ไม่ใช่ภาษารายงานเพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง หรือ "เมื่อน้ำเย็นที่สุดมันก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง" ควรใช้ว่า "ในเดือนพฤษภาคมอุณหภูมิในประเทศไทยต่ำกว่าประเทศลาว" และ "เมื่อน้ำมีอุณหภูมิต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง"
          ภาษาต้องปราศจากข้อสันนิษฐานหรือการคาดคะเน ผู้เขียนต้องบันทึกเหตุการณ์ตามที่ปรากฏแก่ตา หากต้องการสันนิษฐานหรือคาดคะเน ต้องมีข้อมูล หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาใช้ในการสันนิษฐาน
          ภาษาต้องปราศจากข้อตัดสินชี้ขาด หรือสรุปวิจารณ์ ต้องไม่ใช้ภาษาที่แสดงว่าเป็นการยกย่อง ติเตียน พอใจ ไม่พอใจ ภาษาของการเขียนรายงานต้องบรรยายไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น การตัดสินหรือสรุปวิจารณ์เป็นหน้าที่ที่ผู้อ่านจะกระทำเอง การเขียนแบบที่ผู้เขียนด่วนสรุปตัดสินอาจทำให้ความคิดของผู้อ่านหยุดชะงัก
          •ละเว้นการใช้คำที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดอคติ อย่าเลือกใช้คำที่อาจทำให้ผู้อ่านเกิดอคติ เช่น คำว่า "ค่อย ๆ ย่อง" กับ "เดินไปอย่างเงียบ ๆ" ผู้อ่านอาจสร้างภาพและเกิดความรู้สึกต่างกัน
          อย่างไรก็ตามการใช้ภาษาในงานเขียนทางวิชาการแต่ละสาขาวิชาอาจมีลักษณะปลีกย่อยแตกต่างกันได้ ดังที่อมรา ประสิทธิรัฐสินธุ์ (2542) สรุปว่า ภาษาวิทยาศาสตร์ในภาษาไทยยัง ไม่มีผู้ศึกษาไว้โดยตรง แต่ในภาษาอังกฤษ Scientific English เป็นทำเนียบภาษาที่มีความสำคัญและมีผู้ศึกษาไว้มาก และกล่าวถึงลักษณะของภาษาวิทยาศาสตร์ไว้เป็นข้อ ๆ ดังนี้
          •มีความเป็นกลาง ไม่เน้นผู้กระทำ แต่เน้นกระบวนการจึงใช้ประโยคกรรมวาจก (Passive) มากกว่าปกติ
          •มีความเป็นสากลจึงใช้กริยาปัจจุบันกาลและคำนามไม่เฉพาะเจาะจง
          •เน้นวัตถุประสงค์หรือหน้าที่ของสิ่งที่กล่าวถึง จึงมีการวาง Infinitive ไว้หน้าประโยค
          •รวบรัดแต่ได้ใจความมากจึงใช้คำนามขยายคำนาม
          •ไม่เน้นความสละสลวย แต่พูดให้สั้น
การใช้ภาษาในงานเขียนเชิงวิชาการ อาจแยกกล่าวเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. การใช้คำ
          1.1 ใช้คำให้ถูกต้อง
                   1.1.1 ถูกต้องตามความหมายของคำการใช้คำในภาษาเขียนนั้นผู้ใช้ต้องระมัดระวังอย่างมากจึงจะสามารถสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะการใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน คำในภาษาไทยเป็นจำนวนมากมีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่ไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้เสมอไป ผู้ใช้ต้องมีความรู้ ความเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ เป็น อย่างดีจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ตรงความหมาย
                   1.1.2 ถูกต้องตามชนิดของคำ  การใช้คำต้องคำนึงถึงชนิดและหน้าที่ของคำในประโยคผู้เขียนต้องรู้จักเลือกใช้คำให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และเพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน
          1.2 ใช้คำที่เป็นภาษาเขียน 
          การเขียนทำให้การบันทึกแม่นยำและถาวร ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ รวมทั้งความละเอียดถี่ถ้วนก็มีมากกว่าภาษาพูด ภาษาเขียนเป็นภาษาที่เรียบเรียงเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะหน้าที่ ประโยชน์ สถานการณ์ รวมทั้งความถาวร ทำให้ภาษาเขียนเป็นภาษาที่ต้องมีการร่าง การเรียบเรียง การแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานเขียนหลายประเภทมีผู้แก้ไขหลายคน เช่น ร่างกฎหมาย รายงานการประชุม เป็นต้น ข้อแตกต่างระหว่างภาษาเขียนกับภาษาพูดเห็นได้ง่ายในเรื่องระดับของถ้อยคำที่ใช้และรูปแบบของสื่อ (วัลยา ช้างขวัญยืน , 2534 )
          1.3 ใช้คำสุภาพ
          การใช้คำในภาษาเขียนควรคำนึงถึงเรื่องการใช้คำสุภาพเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกที่ดีทั้งยังแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนเป็นผู้ที่มีมารยาทในการใช้ภาษาด้วย
          1.4 ใช้คำไทย
          ปัจจุบันเรารับวิทยาการด้านต่างๆ มาจากต่างประเทศ เราจึงมีคำศัพท์ภาษาต่างประเทศใช้เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์ในภาษาอังกฤษในการเขียนภาษาไทยนั้นหากจำเป็นต้องใช้คำศัพท์ภาษาต่างประเทศ ควรเลือกใช้คำศัพท์บัญญัติที่ราชบัณฑิตยสถานกำหนดหากคำใดยังไม่มีการบัญญัติขึ้นใช้ อาจใช้คำที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปหรือใช้ทับศัพท์ แต่ควรวงเล็บคำภาษาอังกฤษไว้ด้วยเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงกัน ดังตัวอย่าง
คำที่ไม่ควรใช้ในภาษาเขียน (ปรีชา ช้างขวัญยืน , 2542)
          1. คำย่อและคำตัด
                   คำย่อที่ไม่ควรใช้คือคำย่อที่ใช้เฉพาะกลุ่ม คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบความหมาย เช่น ปวศ. อ.ส.ม.ท. น.บ. เป็นต้น ในการเขียนควรใช้คำย่อให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย หากใช้ควรเขียนคำเต็มเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจ
                   คำตัดที่ใช้ในภาษาเขียนโดยทั่วไปมีไม่กี่คำ เช่น กรุงเทพ ฯ โปรดเกล้า ฯ ข้า ฯ คำตัดบางคำใช้แพร่หลายในการพูดแต่ไม่นิยมใช้ในภาษาเขียนซึ่งต้องการความแจ่มแจ้ง เช่น นิสิตจุฬา ผู้ว่า โรงเรียนนายร้อย เป็นต้น
          2. คำภาษาต่างประเทศ
          คำภาษาต่างประเทศถ้าใช้ในวงแคบเฉพาะในหมู่ผู้รู้ไม่กี่คนก็อาจเป็นประโยชน์
          3. คำหรูหรา
          คำหรูหรา ได้แก่คำที่เป็นศัพท์ซึ่งไม่ค่อยใช้กันในภาษาทั่วไปและถือกันว่าเป็นศัพท์สูงกว่าศัพท์ที่ใช้กันทั่วไป การใช้คำประเภทนี้อาจแสดงว่าผู้ใช้รู้ศัพท์มาก แต่ก็ทำให้ผู้อ่านเข้าใจยากขึ้น คำหรูหราในภาษาไทยมี 2 ประเภท คือ
                   1. คำที่มาจากภาษาอื่น เช่น ประจักษ์ บัญชา เ จตนารมณ์ ทัศนียภาพ เป็นต้น คำสามัญที่ใช้แทนคำเหล่านี้คือ เห็น ความมุ่งหมาย ภาพที่สวยงาม
                   2. ศัพท์ที่ตั้งขึ้นโดยพยายามจะให้แปลกหูแต่คนฟังต้องตีความ เช่น เรียกการพูดโจมตีว่า "การกระทำที่ไม่เป็นมิตร" เรียกผู้หญิงว่า "ดอกไม้ของชาติ" เรียกรถไฟว่า "ม้าเหล็ก" เป็นต้น
          4. คำที่มีความหมายซ้ำกัน
          การใช้คำที่มีความหมายซ้ำกันคือการใช้คำมากกว่าหนึ่งคำเพื่อบอกความหมายเดียว เช่น วางแผนล่วงหน้า เปิดเผยให้ทราบ เริ่มทำเป็นครั้งแรก ในประวัติเท่าที่ผ่านมา เป็นต้น
          5. คำที่เป็นภาษาพูด เช่น
                                                ภาษาพูด                                      ภาษาเขียน
                                                เข้าท่า                                         เหมาะสม
                                                ยังไง                                           อย่างไร
          6. คำโบราณ
          คำโบราณมีอยู่ในหนังสือเก่า เช่น วรรณคดี หรือจารึกต่าง ๆ เป็นคำที่คนสมัยใหม่อาจไม่เข้าใจจึงควรเลือกใช้คำอื่น เช่น
                                                คำ                                             ตัวอย่างประโยค
                                                ย่อม                                           สิ่งมีชีวิตย่อมกินอาหาร
                                                เจ้าเรือน                                       คนส่วนมากมีโทสจริตและโมหจริตเป็นเจ้าเรือน
          7. คำในภาษาเฉพาะกลุ่ม
          คำในภาษาเฉพาะกลุ่มเป็นภาษาปัจจุบันที่ใช้และรู้กันในหมู่คนเพียงบางกลุ่ม รวมไปถึงคำที่เป็นภาษาถิ่น ในการเขียนเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจจึงต้องใช้ภาษาราชการ
          8. คำสแลง
          คำสแลงเป็นคำที่จัดอยู่ในประเภทคำต่ำ ส่วนมากเป็นคำทั่ว ๆ ไปที่นำมาใช้ในความหมายเฉพาะและใช้กันชั่วระยะเวลาหนึ่ง บางคำอาจใช้กันจนติดอยู่ในภาษา เช่น คำว่า เชย เป็นต้น คำสแลงมักมีความหมายกว้างมากและแปลให้ตายตัวไม่ได้ ความหมายจึงไม่รัดกุมและเนื่องจากมักใช้กันชั่วคราวจึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นภาษาเขียน
          9. คำหยาบ
          คำหยาบ ได้แก่ คำที่ถือว่าต่ำกว่าภาษาพูดลงไปและเป็นคำที่ถือว่าพูดไม่ได้ ถ้าใช้พูดก็ถือว่าดูหมิ่นผู้ฟัง คำด่าก็รวมอยู่ในประเภทคำหยาบด้วย คำเหล่านี้ใช้ในภาษาเขียนไม่ได้เลย
2. การใช้ประโยค การสร้างประโยค ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
          2.1  ความถูกต้องชัดเจนใช้รูปประโยคภาษาไทย ไม่ใช้รูปประโยคและสำนวนภาษาอังกฤษ ประโยคภาษาไทยโดยทั่วไปมักจะประกอบไปด้วยประธาน กริยา และกรรม บางประโยคอาจใช้กริยาหรือกรรมขึ้นต้นประโยคหากผู้พูดต้องการเน้นส่วนนั้น ๆ แต่ตามปกติแล้วประโยคภาษาไทยไม่นิยมใช้กรรมขึ้นต้นประโยค
          2.2  ความกะทัดรัด สละสลวยการใช้ภาษาในงานวิชาการนั้นต้องกระชับ รัดกุม สื่อความหมายได้ชัดเจน ตรงประเด็นและสละสลวย คนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจว่าการเขียนงานวิชาการจำเป็นต้องใช้คำศัพท์สูง และผูกประโยคให้ซับซ้อนเพื่อแสดงภูมิของผู้เขียนและเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหาที่เป็นวิชาการ แท้จริงแล้วการเขียนงานวิชาการซึ่งมุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านเป็นสำคัญนั้น ผู้เขียนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกใช้คำง่ายที่สื่อความหมายตรงไปตรงมา และผูกประโยคสั้น ๆ ไม่พูดซ้ำโดยไม่จำเป็นเพื่อให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่วนความไพเราะสละสลวยของการเรียบเรียงข้อความนั้นจะช่วยเสริมให้เรื่องน่าอ่านยิ่งขึ้น
          2.3 การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องภาษาไทยไม่นิยมใช้เครื่องหมายวรรคตอนเมื่อจบข้อความหรือประโยคแต่การเว้นวรรคตอนเป็นเครื่องหมายที่ช่วยแบ่งประโยคหรือข้อความให้ชัดเจนขึ้น ทำให้ทราบว่าข้อความหรือประโยคจบลงแล้ว การใช้วรรคตอนผิดส่งผลให้ความหมายของข้อความผิดเพี้ยนไป หรือสื่อความหมายไม่ชัดเจน การเว้นวรรคตอนจึงถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
3. ย่อหน้า
          3.1 ความหมายของย่อหน้าย่อหน้า คือการนำกลุ่มของประโยคมาร้อยเรียงอย่างสัมพันธ์กันเพื่อแสดงความคิดสำคัญเพียงความคิดเดียว ข้อความแต่ละย่อหน้าจะเป็นตัวแทนของความคิดสำคัญเพียงประการเดียวเท่านั้น หากต้องการเสนอความคิดหลายประการผู้เขียนต้องแยกกล่าวถึงความคิดเหล่านั้นเป็นประเด็น ๆ ในแต่ละย่อหน้า แล้วเรียบเรียงเนื้อหาให้สัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามลำดับ ผู้อ่านจึงจะสามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ง่าย
          โดยทั่วไปแล้วการแสดงความคิดสำคัญในแต่ละย่อหน้านั้น ผู้เขียนอาจแปรประเด็นความคิดสำคัญ (Main idea) เป็นประโยคใจความสำคัญ (Topic sentence) และขยายความด้วยวิธีต่าง ๆ เนื้อความในแต่ละย่อหน้าจึงประกอบไปด้วยประโยคใจความสำคัญหรือประโยคหลักและประโยคขยาย ประโยคใจความสำคัญจะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้เด่นชัดขึ้น แต่บางครั้งผู้เขียนก็อาจจะเสนอความคิด (Main idea) โดยไม่มีประโยคใจความสำคัญ ผู้อ่านต้องสรุปประเด็นสำคัญของย่อหน้านั้นเอาเอง
          ย่อหน้าเป็นตัวแทนของความคิดที่ผู้เขียนต้องการการนำเสนอ การใช้วิธีเขียนแบบย่อหน้าทำให้ผู้อ่านสามารถติดตามเนื้อเรื่องได้อย่างเป็นขั้นตอนและมีเหตุผล ผู้อ่านสามารถหยุดคิดตามได้เมื่ออ่านเนื้อหาแต่ละย่อหน้า นอกจากนี้การเขียนเนื้อหาโดยจัดแบ่งความคิดออกเป็นย่อหน้ายังช่วยให้เกิดความงามในเรื่องรูปแบบ ทั้งนี้เพราะมีที่ว่างให้หยุดพักสายตา และผู้อ่านสามารถตรวจสอบทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้เขียนนำเสนอได้ง่ายขึ้น ทั้งยังแสดงให้เห็นวิธีการเรียบเรียงความคิดที่เป็น ระบบระเบียบของผู้เขียนอีกด้วย
          3.2 รูปแบบของย่อหน้าย่อหน้าแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบตามลักษณะการปรากฏของประโยคใจความสำคัญหรือประโยคหลัก ดังนี้
                   1. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้าประเภทนี้ผู้เขียนแปรประเด็นความคิดสำคัญเป็นประโยคใจความสำคัญแล้วนำไปใส่ไว้ในตอนต้นของย่อหน้า จากนั้นจึงขยายความในประโยคใจความสำคัญนั้นให้ผู้อ่านเข้าใจ โดยทุกประโยคที่นำมาขยายความจะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประโยคใจความสำคัญที่อยู่ต้นย่อหน้า การเขียนย่อหน้าแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเขียนเพราะจะไม่หลงประเด็นได้ง่าย ผู้อ่านก็สามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ทันที
                   2. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายผู้เขียนเริ่มต้นย่อหน้าด้วยประโยคขยายความ จากนั้นจึงเขียนประโยคใจความสำคัญปิดท้าย ย่อหน้าแบบนี้จะช่วยให้ผู้อ่านขมวดปมความคิดของสิ่งที่ได้อ่านมาทั้งหมดในย่อหน้านั้นได้ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนที่ใช้ย่อหน้าแบบนี้ต้องระลึกอยู่เสมอว่าทุกประโยคที่ขยายความนั้นสนุบสนุนประเด็นความคิดสำคัญที่ต้องการนำเสนอ
                   3. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ทั้งตอนต้นและท้าย  ย่อหน้าแบบนี้มีผู้นิยมใช้กันมากเพราะช่วยเน้นย้ำให้ผู้อ่านทราบประเด็นความคิดสำคัญของเรื่องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ประโยคที่ปรากฏในตอนต้นและท้ายย่อหน้าล้วนแสดงความคิดอย่างเดียวกันเพียงแต่ใช้คำพูดต่างกัน
                    4. ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางผู้เขียนเริ่มต้นย่อหน้าด้วยประโยคขยายความเพื่อนำเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการ จากนั้นจึงเขียนประโยคที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องนั้น หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง ย่อหน้าแบบนี้เขียนค่อนข้างยากเนื่องจากผู้เขียนต้องมีวิธีจูงความสนใจของผู้อ่านเข้าสู่เรื่องนั้นก่อนที่จะได้พบกับประโยคใจความสำคัญ จากนั้นจึงขยายความต่อไปจนได้รายละเอียดที่ครบถ้วน สำหรับผู้อ่านเองการค้นหาประโยคใจความสำคัญก็อาจทำได้ค่อนข้างยากเมื่อเปรียบเทียบกับย่อหน้าประเภทอื่น
                   5. ย่อหน้าที่ไม่มีประโยคใจความสำคัญย่อหน้าประเภทนี้มีแต่ประเด็นความคิดสำคัญแต่ไม่มีประโยคใจความสำคัญ ทุกประโยคในย่อหน้านั้นจะแสดงรายละเอียดเพื่อสนับสนุนประเด็นความคิดสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ ผู้อ่านต้องสรุปประเด็นสำคัญเองหลังจากที่อ่านจบแล้ว ย่อหน้าประเภทนี้พบเป็นจำนวนมากในงานเขียนประเภทต่าง ๆ
          3.3  ลักษณะของย่อหน้าที่ดีย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะต่อไปนี้
                    1. มีเอกภาพ เอกภาพคือความเป็นหนึ่งในเรื่องของประเด็นความคิด กล่าวคือใน 1 ย่อหน้าจะมีเพียง 1 ความคิดสำคัญเท่านั้น ทุกประโยคที่นำมาแสดงรายละเอียดต้องสนับสนุนหรืออธิบายประเด็นหลักของย่อหน้านั้น หากมีประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ย่อหน้านั้นก็จะขาดความเป็นเอกภาพ
                   2. มีสัมพันธภาพ สัมพันธภาพของย่อหน้าหมายถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างความคิดหลักกับความคิดปลีกย่อย ผู้อ่านจะสามารถติดตามความคิดของผู้เขียนได้ง่ายและชัดเจนขึ้นหากผู้เขียนใช้คำเชื่อมได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ทั้งยังมีวิธีเรียบเรียงและการเสนอความคิดอย่างมีระบบ มีเหตุผล และทุกประเด็นมีความเกี่ยวเนื่องกันไปโดยลำดับ นอกจากสัมพันธภาพในแต่ละย่อหน้าแล้ว ข้อเขียนแต่ละเรื่องยังต้องมีสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าด้วย
                   3. มีสารัตถภาพ สารัตถภาพคือการเน้นย้ำในส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งอาจทำได้โดยการให้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการเน้นมากกว่าประเด็นอื่น เช่น ยกตัวอย่างประกอบ กล่าวด้วยถ้อยคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันแต่ใช้ข้อความต่างกัน และอธิบายขยายความอย่างละเอียด เป็นต้น การเน้นประเด็นใดประเด็นหนึ่งนี้อาจทำได้อีกวิธีหนึ่งคือการวางประโยคใจความสำคัญไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นได้เด่นชัด ซึ่ง ได้แก่ในตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้านั่นเอง


แหล่งที่มา  http://home.kku.ac.th/thai416102/SubjectWeb/thaiUsage.htm




การเขียนรายงานการค้นคว้าอ้างอิง


ใบความรู้  ครั้งที่  4
เรื่อง  การเขียนรายงานการค้นคว้าอ้างอิง
          การอ้างอิงเอกสารในงานเขียนทางวิชาการ  งานค้นคว้าวิจัย  การเขียนรายงาน ตลอดจนการเขียนวิทยานิพนธ์ และการค้นคว้าแบบอิสระของนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา มักมีการใช้เอกสารประเภทต่างๆ ประกอบการเรียบเรียง  รวบรวมประเด็น  สรุปเรื่องราว  ตัดต่อหรือคัดลอกข้อความจากเอกสารเหล่านั้นมาเขียนไว้ในงานเขียนของตน  พร้อมทั้งแสดงแหล่งที่มาของข้อมูลไว้ด้วย  ซึ่งเรียกว่า  การอ้างอิง  (Citation)” ส่วนรายชื่อเอกสารต่างๆ ที่ผู้เขียนนำมาเขียนอ้างอิงไว้ในเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่ง  และมีการรวบรวมไว้ในตอนท้ายของงานเขียน  เรียกว่า รายการอ้างอิง (References)”แต่ถ้าเป็นรายชื่อเอกสารที่ผู้เขียนใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้าแล้วนำมาเรียบเรียงเป็นข้อเขียน โดยไม่ปรากฏในตอนใดของงานเขียน  หรือไม่มีการอ้างอิงในเนื้อหาเรียกว่า บรรณานุกรม  (Bibliography)”
          โดยทั่วไปรูปแบบการลงรายการอ้างอิงจะจำแนกตามประเภทของเอกสาร เช่น การอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือ บทความในหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ วิทยานิพนธ์ จุลสาร การสัมภาษณ์ สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งการอ้างอิงเอกสารและแหล่งต่างๆ ในงานเขียนนั้น สามารถเลือกทำได้มากกว่า 1 รูปแบบ ในแต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียและความสะดวกในการลงรายการแตกต่างกันไป และช่วยให้ผู้อ่านทราบถึงแหล่งข้อมูลหรือเอกสารที่ถูกอ้างถึงในขณะอ่านงานเขียน  อีกทั้งยังช่วยให้การหาเอกสารนั้นได้พบ  จากรายการอ้างอิงที่รวบรวมไว้ในตอนท้ายของงานเขียน และในการแนะนำรูปแบบการเขียน   รายการอ้างอิงในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนขอแนะนำวิธีการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งระบบนาม - ปี (Name - Year System) ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และสะดวกในการติดตามเอกสารจากรายการอ้างอิงอย่างมีหลักการ ดังมีรายละเอียดในการลงรายการ ดังนี้
รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา
          การอ้างอิงเอกสารแบบแทรกในเนื้อหา  เป็นการระบุนามผู้แต่ง และปีที่พิมพ์ของเอกสารไว้ในเนื้อความหรือเนื้อเรื่อง อาจจะระบุไว้ ตอนต้น หรือ ตอนท้าย ของข้อความ มีรายละเอียดของการลงรายการดังนี้
          1.การอ้างเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่ง 1 คนหากมีการอ้างถึงเอกสารนั้นทั้งงานโดยรวม ให้ระบุนามผู้แต่งและปีที่พิมพ์แทรกไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม กล่าวคือ ถ้าระบุนามผู้แต่งไว้ในเนื้อความ ให้อ้างปีที่พิมพ์ไว้ในวงเล็บ หรือ ให้ระบุทั้ง นามผู้แต่ง  ปีที่พิมพ์  และเลขหน้า ของเอกสารนั้นในวงเล็บ  ดังตัวอย่าง

          ผลการวิจัยด้านความต้องการซื้อสินค้า และบริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยพบว่า ปัจจัยที่มีต่อผลการตัดสินใจส่วนใหญ่คือ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของวิธีการชำระเงิน รองลงมา  คือการแสดงราคาสินค้า และบริการ (สิริกุล หอสถิตย์กุล, 2542 : 12)
          2. การอ้างเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่ง 2 คนการอ้างอิงเอกสารที่มีผู้แต่ง 2 คน ให้ระบุนามผู้แต่งทั้ง 2 คน และทุกครั้งที่มีการอ้างถึงให้ใช้คำว่า และหรือ  and   เชื่อม นามผู้แต่ง   ระบุปีที่พิมพ์  และเลขหน้า  ในตอนท้ายหรือในวงเล็บดัง  ตัวอย่าง
          คำอธิบายที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอีกกลุ่มหนึ่งคือ ข้ออธิบายของ  Lasswell และ Kepland (1970 : 36) ที่เสนอว่า เป็นแผนหรือโครงการที่ได้กำหนดขึ้น
          3. การอ้างอิงเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่ง 3  คนเมื่อมีการอ้างถึงเอกสารที่มีผู้แต่ง 3 คน ครั้งแรก ให้ระบุนามผู้แต่งทุกคนและเมื่ออ้างถึงครั้งต่อไปให้ระบุนามผู้แต่งคนแรก ตามด้วย  et al.  หรือ and others สำหรับเอกสารภาษาอังกฤษ ส่วนเอกสารภาษาไทยให้ใช้ และคณะ หรือ  และคนอื่นๆ  ดังตัวอย่าง
          การอ้างครั้งแรก
                   ภักดี  รัตนผล, แสวง โพธิ์ทอง และกมล ประจวบเหมาะ(2545 : 30) ได้กล่าวถึงการมอบอำนาจและการกระจายอำนาจของการปกครองท้องถิ่นว่า
          การอ้างครั้งต่อมา
                   ภักดี  รัตนผล และคณะ (2545 : 53-54) กล่าวสรุปไว้ดังนี้
          4. การอ้างเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่งมากกว่า3คนในการอ้างถึงเอกสารที่มีผู้แต่งมากกว่า 3 คนทุกครั้ง  ให้ระบุเฉพาะ นามผู้แต่งคนแรกพร้อมกับคำว่า et al.  หรือ and  others  สำหรับเอกสารภาษาอังกฤษ   ส่วนเอกสารภาษาไทยให้ใช้คำว่า และคณะ  หรือ   และคนอื่น ๆ  ดังตัวอย่าง :
                   ปราณี คูเจริญไพศาล และคณะ (2542) ศึกษาเรื่องปัจจัยการซื้อซ้ำในฐานะตัวบ่งชี้ระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าประเภทอาหาร  สรุปได้ดังนี้
          5. การอ้างเอกสารที่ผู้แต่งเป็นสถาบัน/นิติบุคคลการอ้างเอกสารที่มีสถาบันหรือองค์กรนิติบุคคลเป็นผู้แต่งแทรกในเนื้อหา ให้ระบุนามผู้แต่งที่เป็นสถาบัน   ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า  ตามลำดับ การลงรายการชื่อผู้แต่งถ้าสถาบันนั้นเป็นหน่วยงานของรัฐบาล อย่างน้อยต้องเริ่มต้นที่ระดับกรม ดังตัวอย่าง
                   (กรมการปกครอง, สำนักทะเบียนกลาง, 2545 : ออนไลน์)
                   (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะบริหารธุรกิจ, ภาควิชาการจัดการ, 2545 : 19)
          6. การอ้างเอกสารหลายเรื่องที่เขียนโดยผู้แต่งคนเดียวกันเมื่ออ้างเอกสารหลายเรื่องหรือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้แต่งคนเดียวกันแต่ปีพิมพ์ต่างกัน
ให้ระบุนามผู้แต่งครั้งเดียว  ระบุปีที่พิมพ์  และเลขหน้า ตามลำดับโดยใช้เครื่องหมาย อัฒภาค (;) คั่นระหว่างปี   ดังตัวอย่าง
                   (นราศรี ไววาณิชย์กุล, 2518:21; 2530: 36; 2545:9)
                   (ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2538: 47; 2545: 45)
                   การอ้างเอกสารที่ไม่ปรากฏผู้แต่ง
          7. วิธีการอ้างถึงเอกสารที่ไม่ปรากฏผู้แต่ง หรือใช้นามแฝง ผู้แปล ผู้รวบรวม หรือ บรรณาธิการ มีวิธีการเขียน ดังนี้
          หากไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง  ให้ลงชื่อเรื่อง ระบุปีที่พิมพ์ และเลขหน้าเช่น(กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา, 2545 :65-67)
          เอกสารที่มีเฉพาะชื่อบรรณาธิการ/ผู้แปล/ผู้รวบรวม  ให้ระบุชื่อผู้ทำหน้าที่นั้น ปีที่พิมพ์  และเลขหน้าเช่น
                   (สีดา  สอนศรี, บรรณาธิการ, 2544 : 93)
          บทวิจารณ์ ให้ระบุชื่อผู้วิจารณ์  ปีที่พิมพ์  และเลขหน้าเช่น (บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา, 2545 : 56)
          8. การอ้างถึงส่วนหนึ่งของหนังสือรวมบทความการอ้างถึงส่วนหนึ่งหรือบทหนึ่งของหนังสือประเภทรวมบทความ หรือหนังสือ 1 เล่ม มีผลงานของผู้เขียนหลายคน และมีผู้รับผิดชอบในการรวบรวม หรือทำหน้าที่บรรณาธิการ ให้ระบุเฉพาะชื่อผู้เขียนบทความ  หรือส่วนที่ต้องการอ้างอิง ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า
                    (ไกรยุทธ  ธีรตยาคีนันท์, 2544 : 45)
          9. การอ้างเอกสารที่มีลักษณะพิเศษเอกสารที่มีลักษณะพิเศษ   ได้แก่ โสตทัศนวัสดุ  แฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ แผนที่ รายการวิทยุ/โทรทัศน์ เป็นต้น  มีหลักการลงรายการ คือ ให้ระบุลักษณะพิเศษของเอกสารนั้น
                   (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2546 : ออนไลน์)
          กล่าวโดยสรุปแล้วการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหารูปแบบต่าง ๆ ข้างต้น จะให้ประโยชน์ในด้านการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล    และเป็นการอ้างถึงงานที่สนับสนุนเกี่ยวข้องกับงานเขียนในเชิงวิชาการ  ดังนั้น  เมื่อเรียบเรียงเนื้อหางานเขียนเสร็จสมบูรณ์แล้ว  เอกสารและแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่นำมาเขียนอ้างอิง จะถูกนำมาเรียงลำดับอักษรตามหลักพจนานุกรม  และรวบรวมเป็น รายการอ้างอิง (References) หรือ บรรณานุกรม (Biblographics)ไว้ในตอนท้ายของตัวเล่ม โดยมีรูปแบบการลงรายการ ที่แตกต่างกันไปตามประเภทของสิ่งพิมพ์ ดังนี้
รูปแบบการเขียนรายการอ้างอิง/บรรณานุกรม
          รายการอ้างอิงมีประโยชน์ในการให้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้สนใจได้ติดตามเอกสาร และแหล่งต่างๆ ที่อ้างถึงในงานเขียนได้ถูกต้อง ดังนั้นรายการอ้างอิงจะต้องตรงกับการอ้างอิงที่ปรากฏในเนื้อหาภายในเล่ม วิธีที่จะให้แน่ใจว่าข้อมูลในรายการอ้างอิงที่ถูกต้องและสมบูรณ์คือ ให้ตรวจสอบรายการอ้างอิงแต่ละรายการกับการอ้างที่ปรากฏในเนื้อหาและกับเอกสารต้นฉบับที่นำมาอ้าง
          การลงรายการอ้างอิง หรือการเขียนบรรณานุกรมมีหลายรูปแบบ ในที่นี้จะได้นำแบบแผนการเขียนเอกสารอ้างอิงตามแบบแวนคูเวอร์  (Vancouver Style)  และภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ปรับปรุงใช้ใน พ. ศ.2545  ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมในการใช้ พร้อมแสดงตัวอย่าง  ดังนี้
1. หนังสือ
          ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์.  ชื่อเรื่อง.  ครั้งที่พิมพ์.  สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.เช่น
          กุณฑลี เวชสาร. 2545.  การวิจัยการตลาด.  พิมพ์ครั้งที่ 34 .  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง-
                        จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.                   
2.  วารสาร
          ชื่อผู้เขียนบทความ. ปี.  ชื่อบทความ.”  ชื่อวารสาร  ปีที่, ฉบับที่ (วัน เดือน): เลขหน้า.เช่น
          วิกุล  แพทย์พาณิชย์. 2545. ธุรกิจแฟรนไชส์.”   เนชั่นสุดสัปดาห์  4, 8 (15-21 สิงหาคม): 8-11.
3.  หนังสือพิมพ์
          ชื่อผู้เขียนบทความ. ปี.  ชื่อบทความ.”  ชื่อหนังสือพิมพ์.  (วัน เดือน): เลขหน้า.
          สุทธิชัย หยุ่น.  2545.  บทบาทของสื่อมวลชนกับสังคมไทย.”  ผู้จัดการรายวัน.
                   (11 กันยายน ): 12.
4.  วิทยานิพนธ์
          ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์.  ปีพิมพ์.  ชื่อวิทยานิพนธ์.  ระดับวิทยานิพนธ์ /หรือการค้นคว้าแบบอิสระ             
                   ชื่อสาขา คณะ/บัณฑิตวิทยาลัย  ชื่อมหาวิทยาลัย.
          นลินี   จารุกาญจนกิจ.  2540.  การจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 
                   วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 
5.  การสัมภาษณ์
          ผู้ให้สัมภาษณ์.  ตำแหน่ง (ถ้ามี).   สัมภาษณ์. วัน เดือน  ปี ที่ให้สัมภาษณ์.
          ปรีดิยาธร เทวกุล, ม.ร.ว.  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย.  สัมภาษณ์.  21 เมษายน 2545.
สื่อไม่ตีพิมพ์ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุประเภท ฟิล์มภาพยนตร์ และแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ รวมถึงแหล่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น  มีรูปแบบการลงรายการแตกต่างกันดังมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
6. สื่อโสตทัศนวัสดุ  เช่น ซีดี - รอม / เทปตลับ / วีดิทัศน์
          ชื่อผู้ผลิต/หรือชื่อบุคคลที่พูด. ปีที่ผลิต.  ชื่อเรื่อง.  [ประเภทของโสตทัศนวัสดุ].  สถานที่ผลิต:
                   หน่วยงานที่ผลิตหรือเผยแพร่.
          สำนักงานสถิติแห่งชาติ.  2544.  สมุดสถิติรายปีประเทศไทย บรรพ 472543.  [ซีดี-รอม].
                   กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ. 
7.  ฐานข้อมูลออนไลน์จากอินเทอร์เน็ต  (World Wide Web)
          ชื่อผู้เขียน หรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบ.  ปีที่บันทึกข้อมูล.  ชื่อเรื่อง/ชื่อบทความ.” 
                   [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา  ชื่อที่อยู่ของอินเทอร์เน็ต(วัน เดือน ปีที่สืบค้น).
          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  คณะบริหารธุรกิจ.  2545.   "รายงานประจำปี 2544."  [ระบบออนไลน์].



                     แหล่งที่มา  http://www.ba.cmu.ac.th/annualreport/index.html  (15 พฤศจิกายน 2545).

การมีมารยาทในการอ่าน


ใบความรู้  ครั้งที่ 3
เรื่อง  การมีมารยาทในการอ่าน
การสร้างนิสัยรักการอ่าน
          การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนี้ ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยผู้ปกครองผู้ใหญ่ในบ้าน ครูอาจารย์ ตลอดจนสื่อต่างๆ ในสังคมควรส่งเสริม การเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนแต่ละระดับ ย่อมมีส่วนจูงใจให้เด็กอยากอ่านอยากรู้อยากเห็น อยากค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อจะได้เป็นนักอ่านที่ดีต่อไป
          ในวัยแรกเริ่มหัดอ่านนั้น ผู้ใหญ่อาจเร้าความสนใจด้วยหนังสือที่มีภาพประกอบสวยๆ หนังสือการ์ตูนนิทานที่สนุกสนานมีภาพประกอบ หรือเมื่อเริ่มโตขึ้นเริ่มมีหนังสือสารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น ที่ตรงกับความสนใจ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าหนังสือนั้นมีประโยชน์ มีคุณค่า และมีความหมายต่อเขามาก การเลือกหนังสือเข้าห้องสมุดให้เหมาะสมกับวัยผู้เรียน จะมีส่วนอย่างมากในการจูงใจให้เด็กเข้าห้องสมุด และหยิบหนังสือมาอ่านจนเกิดความเคยชินกับการอ่าน หนังสือที่เหมาะกับวัยและรสนิยมของเด็กจะช่วยให้เด็กรักและมีความสุขกับการอ่านหนังสือ เมื่อเขาโตขึ้นก็ควรได้รับการปลูกฝังให้รักการอ่านด้วยตัวเอง ดังนี้
          1. ร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น อ่านแล้วนำเรื่องมาเล่าต่อ ขณะที่อ่านควรบันทึก ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง แนวคิดสำคัญของเรื่องและคุณค่าลงในบัตรทุกครั้ง
          2. จดบันทึก ข้อความ ถ้อยคำ เรื่องราว ข้อคิด ความรู้ที่มีประโยชน์ หรืออาจลืมได้ง่าย เก็บไว้เพื่อเตือนความจำหรือเป็นแบบให้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้
          3. ใช้พจนานุกรมและสารานุกรมช่วยในกรณีที่พบถ้อยคำ สำนวน หรือคำศัพท์ยากที่ไม่เข้าใจความหมาย หรือต้องการตรวจสอบความถูกต้อง
          4. สำรวจสมาธิในการอ่าน เพื่อจับสาระสำคัญ หรือสาระประโยชน์อื่นๆ ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
          5. ปรับอารมณ์ให้สอดคล้องกับข้อเขียน เพื่อสร้างจินตนาการและความเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น
          6. รู้จักลักษณะเฉพาะของวรรณกรรม เข้าใจศิลปะของการใช้ภาษาในคำประพันธ์ รวมทั้งถ้อยคำโวหารในงานนั้นๆ
          7. สะสมประสบการณ์และความรู้เชิงภาษาให้กว้างขวางและมากพอจนสามารถเข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว รับรสจากการอ่านได้อย่างซาบซึ้งแนวทางพัฒนาทักษะการอ่าน
          การอ่านเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่คนเป็นจำนวนมากไม่ค่อยรักการอ่าน นักเรียนซึ่งอยู่ในวัยเรียน จะได้รับความรู้จากการอ่านเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องฝึกฝนตนให้เป็นนักอ่าน มีความอยากอ่าน จนติดเป็นนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิต แนวทางพัฒนาทักษะการอ่าน ควรดำเนินการดังนี้
          1.  สร้างนิสัยในการอ่านด้วยวิธีง่ายๆ คือ
                   - เริ่มต้นอ่านหนังสือที่ตนชอบด้วยการซื้อเป็นสมบัติส่วนตนหรือเข้าห้องสมุดเมื่อมีเวลาว่าง
                   - อ่านหนัสือทุกประเภทในเวลาว่าง นอกเหนือจากหนังสือเรียน หรือหนังสือที่ชอบ
                   - อ่านประกาศต่างๆ ในสถานที่ที่เข้าไปติดต่อ
          2.  เข้าร่วมกิจกรรมอ่านออกเสียง อ่านบทร้อยกรอง ร้อยแก้ว ความเรียง เช่น อ่านข่าว เล่านิทาน อ่านทำนองเสนาะ ฯลฯ เพื่อเพิ่มทักษะการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเว้นวรรคตอน การอ่านคำควบกล้ำ ขณะที่อ่านควรใช้น้ำเสียงมีชีวิตชีวาตามเนื้อหาที่อ่าน
          3.  สะสมข้อความประทับใจที่อ่านพบ ไว้ใช้ในโอกาสที่เหมาะสมด้วยการบันทึกลงบัตรและเก็บสะสมบัตรไว้ใช้ต่อไป
          4.  บันทึกผลการอ่านทุกครั้ง ตั้งแต่ที่มาของหนังสือ สาระสำคัญของเรื่อง ความคิดเห็นของผู้อ่าน ฯลฯ
          5.  อ่านหนังสือให้มากและรู้จักเลือกหนังสือที่มีคุณค่า เพิ่มพูนความรู้และคุณธรรมของตนเอง
          6.  สร้างบรรยากาศการอ่านให้เป็นที่น่าพึงใจ หาที่นั่งที่สบาย อากาศดี แสงสว่างพอเพียง และไม่มีเสียงรบกวน
          7.  พยายามอ่านหนังสือทุกวัน ทั้งหนังสือประเภทที่ชอบและข่าวสารต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ที่ช่วยให้ผู้อ่านทันโลก
          8.  ฝึกฟัง เพราะการฟังเป็นพื้นฐานของการอ่าน ถ้าฟังการวิจารณ์เรื่องที่เรากำลังอ่าน จะช่วยให้มีทัศนะในเรื่องที่อ่านกว้างขึ้น
          9.  เมื่อจิตใจท้อแท้ เบื่อหน่าย เครียด สมองทำงานหนัก ควรอ่านหนังสือประเภทขบขัน หนังสือประเภทให้ความเพลิดเพลินทางปัญญาและอารมณ์ หนังสือชี้ชวนดูโลกในแนวใหม่หรือให้สัจธรรม จะช่วยขจัดความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนาได้ และช่วยให้จิตใจสดชื่นเห็นความงามในชีวิต ช่วยให้กำลังใจเข้มแข็งและรู้สึกรักการอ่าน เพราะตระหนักว่าการอ่านช่วยให้มีความสุขได้
          10.  เมื่อตอบคำถามหรือสนองความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ด้วยวิธีอื่นๆ ที่เหมาะสม ควรอ่านหนังสือเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น เมื่ออ่านไปมากๆ ก็จะพบคำตอบทำให้เป็นผู้รักการอ่าน
          11.  เมื่ออ่านหนัสือและพัฒนาการอ่านจนถึงขั้นแตกฉาน ก็จะเกิดความรู้สึกรักที่จะอ่านหนังสือให้มากขึ้น การอ่านได้มากๆ ต้องฝึกอ่านเร็ว ต้องมีสมาธิแน่วแน่ในการอ่าน ตาและสมองต้องอยู่กับสิ่งที่อ่าน เมื่อมีสมาธิจะอ่านได้เร็ว รู้เรื่อง และจับประเด็นได้ ก็จะยิ่งรู้สึกรักที่จะอ่านมากขึ้น ซึ่งช่วยพัฒนาการอ่านได้มากยิ่งขึ้น



การเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน การเสริมสร้างลักษณะนิสัยรักการอ่าน สามารถทำได้ด้วยวิธีการดังนี้
          1.  รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ      ทุกครั้งที่มองเห็นหนังสือหรือวัสดุการอ่านใดก็ตาม ขอให้นักเรียนสร้างความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่ดี เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สมควรอ่าน ยิ่งอ่านมากก็ทวีประโยชน์แก่ตนเอง ยิ่งกว่านั้นนักเรียนทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งอดีตและปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันประการหนึ่ง คือเป็นผู้ที่รักการอ่าน หากต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ก็ขอให้เริ่มอ่านและรักการอ่านตั้งแต่บัดนี้
          2.  สร้างนิสัยใฝ่รู้เมื่อเกิดความรู้สึกที่ดีต่อการอ่านแล้ว จะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ และคิดเสมอว่าความรู้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องเอาใจใส่ติดตามเป็นประจำ มิฉะนั้นจะเป็นคนล้าหลัง นอกจากนั้นจะต้องรู้จักแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งนอกและในโรงเรียน ความรู้ดังกล่าวอาจเป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเรียน และความรู้โดยทั่วไปที่จะช่วยเสริมให้เป็นคนรอบรู้ด้วย
          3.  เตรียมความพร้อมทุกด้านก่อนการอ่านทุกครั้งควรสำรวจความพร้อมของตนด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด ความพร้อมที่กล่าวถึงนี้หมายรวมถึงความพร้อมทางกาย ทางใจ และสภาพแวดล้อม
                   3.1ความพร้อมทางกาย ได้แก่ สุขภาพดี ไม่มีปัญหาด้านสายตา หรือหากมีปัญหาก็ควรปรึกษาแพทย์
                   3.2  ความพร้อมทางใจ ได้แก่ ต้องมีจุดมุ่งหมายแน่ชัดในการอ่านว่าอ่านข้อความนี้เพื่ออะไร เพื่อความรู้ เพื่อสอบ หรือเพื่อความบันเทิง เป็นต้น นอกจากนั้นต้องมีสมาธิในการอ่านปราศจากความกังวลใดๆ
                   3.3  ความพร้อมทางสภาพแวดล้อม หมายถึง ควรเลือกอ่านในถานที่ที่เหมาะกับการอ่าน บรรยากาศดี แสงสว่างเพียงพอ และปราศจากเสียงรบกวน แต่หากไม่สามารถหาสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อมได้ก็มิใช่ว่าจะไม่ต้องอ่าน เพราะความจริงสิ่งที่สำคัญมากในการอ่านคือสมาธิ หากผู้อ่านมีสมาธิดีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดย่อมไม่หวั่นไหวและสามารถอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          4.  จัดสรรเวลาในการค้นคว้าการแบ่งเวลาไว้สำหรับศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเองเป็นเรื่องที่สำคัญ หากเป็นไปได้ควรหาช่วงเวลาที่ตนเห็นว่าเหมาะสม โดยควรกำหนดไว้ให้ค้นคว้าทุกวันเพื่อความต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาก็จะเกิดความพร้อมที่จะค้นคว้า ในที่สุดก็จะกระทำจนเป็นนิสัย  สำหรับนักเรียนนั้น การแบ่งเวลาเพื่อการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาตนเอง อาจทำได้  2  ลักษณะ คือ
                   4.1  การแบ่งเวลาในการทบทวนทำความเข้าใจกับบทเรียน นักเรียนต้องพิจารณาว่าควรใช้เวลาดูหนังสือในช่วงใดที่จะดีที่สุด คือมีสมาธิในการอ่านและทำความเข้าใจได้ดี
                   4.2  การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง นักเรียนต้องกำหนดว่าควรใช้เวลาช่วงใด อาจใช้เวลาที่อยู่ในโรงเรียนเข้าห้องสมุดเพื่อศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม หรืออาจจะไปใช้บริการห้องสมุดจากหน่วยงานอื่นก็ได้ หากนักเรียนสนใจหนังสือบางเล่มเป็นพิเศษก็อาจซื้ออ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยตนเอง
          5.  นำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ความรู้ที่สะสมได้จากการศึกษาค้นคว้า ควรจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในการเรียนและในชีวิตประจำวัน เพราะยิ่งนำความรู้มาใช้มากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นเพียงนั้น ทั้งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองด้วย
          มารยาทในการอ่านสุขลักษณะ อ่านหนังสือในระยะที่เหมาะสมกับสายตา นอกจากนั้นจึงต้องคำนึงถึงมารยาทในการอ่านอีกด้วย ข้อพึงปฏิบัติและมารยาทการอ่านที่สำคัญ ดังนี้
          1.  ไม่อ่านออกเสียงดังจนรบกวนผู้อื่น
          2.  ออกเสียงถูกต้องชัดเจน ตามอักขรวิธี
          3.  กรณีอ่านหนังสือในห้องสมุด ต้องไม่ส่งเสียงหรือทำเสียงดังรบกวนผู้อื่น
          4.เลือกอ่านหนังสือที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
          5.  อ่านอย่างมีวิจารณญาณ มีเหตุผล ไม่หลงเชื่อในสิ่งงมงายไร้เหตุผล
          6.  ระมัดระวังในการถือหนังสือมิให้เกิดความเสียหาย
          7.  ถ้าต้องการเรื่องหนึ่งเรื่องใดจากหนังสือ อาจเพื่อนำไปเป็นหลักฐานอ้างอิงควรถ่ายสำนวนไว้ ไม่ควรฉีกออกไปจากเล่ม
          8.  การแสดงความคิดเห็นในการอ่านต้องมีเหตุผล ไม่มีอคติในการอ่าน
          9.  เมื่อนำเนื้อหาส่วนหนึ่งส่วนใดจากเรื่องที่อ่านไปใช้อ้างอิงในงานเขียน เช่น รายงานควรใส่อ้างอิงถูกต้องตามหลักการ เพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เขียน

          10. ถ้าบังเอิญทำหนังสือเสียหาย ควรซ่อมหนังสือให้ถูกต้องตาม ซ่อมหนังสือเพื่อมิให้หนังสือชำรุดยิ่งขึ้น